ประวัติ ชื่อ ของขนมลา อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตากับบุคคลโดยทั่วไปมากนัก เนื่องจากแปลกทั้งชื่อ และรูปแบบเพราะเป็นขนมพื้นบ้านของท้องถิ่น อาจจะรู้จักกันเพียงภาคใต้โดยเฉพาะ จังหวัดนครศรีธรรมราช แหล่งที่ทำขนมลากันมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงรสชาติ ดี อร่อยที่สุด ปัจจุบันทำเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้นคือ "ขนมลาบ้านหอยราก" ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า ชุมชนศรีสมบูรณ์ เดิมชื่อ บ้านหอยราก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ขนมลาเกิดขึ้นเมื่อใด ใครเป็นคนคิดทำขึ้นครั้ง แรก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบแต่ว่าชาวบ้านปากพนังรู้จักทำขนมลาขึ้นใช้ในงานประเพณีสารทเดือนสิบของจ. นครศรีธรรมราช พร้อมกับการก่อตั้งอาณาจักตามพรลิงค์ ซึ่งในงานประเพณีสารทเดือนสิบของจังหวัดนครศรีธรรมราชจะต้องจัดหมรับไปทำบุญ ที่วัดในแรม 15 ค่ำเดือน 10 ซึ่งเป็น "วันสารท" หัวใจสำคัญของหมรับ ในพิธีงานบุญสารทเดือนสิบจะต้องมีขนม 5 อย่าง คือ 1. ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทน แพรพรรณเครื่องนุ่งหม่ 2 ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทน แพ สำหรับบุรพชนผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ 3. ขนมกง(ขนมไข่ปลา) เป็สัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ 4. ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงิน เบี้ยสำหรับใช้สอย 5.
ข้าวเหนียวมูน ส่วนผสม * ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม * หัวกะทิ 450 กรัม * เกลือป่น 3/4 ช้อนชา * น้ำตาลทราย 550 กรัม * ใบเตย 3-5 ใบ * ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ * น้ำใบเตย, น้ำแครอท, น้ำดอกอัญชัญหรือสีผสมอาหารตามชอบ ขั้นตอนการทำ 1. นำข้าวเหนียวไปล้างทำความสะอาดและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ (กรณีต้องการทำข้าเหนียวที่มีสีต่างๆ ก็ให้ใส่สีลงไปในน้ำที่แช่ค้างคืนไว้ด้วย) 2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าว เหนียวสุก 3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ 4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก็สามารถนำไปเสริฟได้ (เวลาเสริฟอาจโรยหน้าด้วยถั่วทอง) หมายเหตุ: ข้าวเหนียวมูนสามารถนำไปทานกับ มะม่วงสุก หรือทานกับสังขยา, หรือทานเป็นข้าวเหนียวมูนหน้ากุ้ง + หน้าปลาแห้งและอื่นๆ ขนมหม้อแกง เผือกนึ่งสุกหรือถั่วเขียวผ่าซีกนึ่งแล้วบดให้ละเอียด 1 ถ้วยตวง ไข่เป็ด 5 ฟอง มะพร้าวขูด 1 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลปีบ 1/2 ถ้วยตวง หอมเจียวสีเหลือง น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันพืช วิธีทำ 1.
ไข่แดงของไข่เป็ด 3 ฟอง 2. ไข่แดงของไข่ไก่ 2 ฟอง 3. กลิ่นดอกมะลิ ½ ช้อนชา 4.
ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ ผงฟู น้ำตาลและเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน 2. ผสมส่วนที่เป็นน้ำให้เข้ากันก่อนมี ไข่ไก่แดง น้ำมันพืช น้ำปูนใส 3. ค่อยเทส่วนผสมน้ำ นวดกับแป้ง และใส่น้ำกะทินวดต่อจนแป้งเหนียวปั้นได้ พักแป้งไว้ 30-60 นาที 4. ปั้นแป้งให้เป็นเส้นยาว และใช้มีดตัดให้มีความยาวเท่าๆกัน 5. ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟปานกลาง นำขนมลงทอด คอยคนไปมาเพื่อให้ขนมสุกเหลืองทั่วกันดี ตักพักบนตะแกรงเพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน 6. เตรียมน้ำเคลือบ โดยนำภาชนะตั้งไฟละลายน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่า ปรุงรสชาติด้วยเกลือ เคี่ยวต่อจนเหนียว (สังเกตน้ำตาลที่ขอบถาชนะเป็นเกล็ดขาว) ใส่ต้นหอมหั่นฝอยลงไป หรี่ไฟลง 7. นำขนมที่ทอดพักไว้ มาคลุกกับน้ำตาลให้ทั่ว 8. จัดใส่จานเสิร์ฟ เกอตูปัตทำจากข้าวห่อด้วยใบปาล์มแล้วนำไปต้ม นิยมกินกับ เรินดัง, สะเต๊ะ หรือ กาโดกาโด แต่เดิมเป็นอาหารที่เตรียมให้ชาวประมงที่ต้องออกทะเลเป็นเวลานาน ยอดกะพ้อ ข้าวสารเหนียว1/2 กก. ถั่วดำ/ถั่วแดง100 กรัม น้ำกะทิ1/2 กก. เกลือ1 ช้อนโต๊ะ ข้าวสารเหนียวและถั่วดำแช่น้ำไว้ประมาณ1 ชม. และพักให้สะเด็ดน้ำ ต้มถั่วดำให้สุก แล้วผัดข้าวเหนียวด้วยน้ำกะทิ โดยใส่น้ำกะทิพอท่วมข้าวเหนียวใส่เกลือ ผัดจนแห้งแล้วใส่ถั่วลงไป ผัดข้าวเหนียวจนแห้งแล้วพักไว้ ขั้นตอนการห่อ ให้คลี่ใบกะพ้อออกแล้วม้วนตรงปลายให้เป็นรูปกรวย ตักข้าวเหนียวใส่แล้วอัดให้แน่น พันใบกะพ้อให้รอบ แล้วพันทบอีกรอบ สอดปลายใบลงไปในส่วนแหลมของต้ม ขนมพอง เป็น สัญลักษณ์แทนเรือ แพ ที่บรรพบุรุษใช้ข้ามห้วงมหรรณพ เหตุเพราะขนมพองนั้นแผ่ดังแพมีน้ำหนักเบาย่อมลอยน้ำและขี่ข้ามได้ วันนี้จึงขอนำเสนอการทำขนมพอง เพื่อใช้ในเทศเดือนสิบกันครับ สารข้าวเหนียว น้ำมันพืช 1.